ประหยัด วิชาเงิน

ผลงานที่ได้รับความนิยมสูงสุด
  873     1,385

-  File 1
-  File 2
-  File 3
-  File 4
-  File 5
-  File 6
-  File 7
-  File 8
-  File 9
-  File 10
ชื่อเรื่อง :  การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม
คำอธิบาย :  ภูมิปัญญาท้องถิ่น : การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม99 หมู่ที่ 6 บ้านศรีประชาใหม่ ตำบลหนองโน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น 40170\ข้อมูลเจ้าของภูมิปัญญา ชื่อเจ้าของภูมิปัญญา คุณแม่หา ป้องเรือ ที่อยู่ 99 หมู่ที่ 6 บ้านศรีประชาใหม่ ตำบลหนองโน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น 40170 อาชีพ เกษตรกร อายุการศึกษาภูมิปัญญา 25 ปี \ชื่อภูมิปัญญา การปลูกหม่อนเลี้ยงไหมประวัติข้อมูลภูมิปัญญา\\\บทนำ - ก่อนจะเป็นเส้นไหมไทย เส้นไหมไทย ราชินีแห่งเส้นใย สานต่อผ้าไหมไทย หลายๆคนรู้จักผ้าไหมไทย เพราะเป็นสิ่งทอไทยที่มีความงดงาม และเป็นเสน่ห์ต่อผู้พบเห็นเป็นอย่างยิ่ง แต่ก็คงยังมีอีกหลายๆคนที่ยังไม่ทราบว่า กว่าจะเป็นผืนผ้าไหมที่มีความสวยงาม และมีเอกลักษณ์ของความเป็นผ้าไหมไทยนั้น ต้องผ่านขั้นตอน กระบวนการต่างๆ ผนวกกับภูมิปัญญาของบรรพบุรุษไทยมาอย่างลึกซึ้ง ดังนั้นเรามารู้จักต้นกำเนิดของความเป็นผ้าไหมไทยกันเถิด จุดเริ่มต้น คือ เป็นการร่วมประสานกันระหว่างพืชและสัตว์ นั่นคือ ต้นหม่อนกับตัวหนอนไหมต้นหม่อน เป็นพืชยืนต้นชนิดหนึ่งที่มีรูปร่างเป็นไม้ทรงพุ่ม เป็นพืชยืนต้น ใบหม่อนเป็นอาหารที่ดีที่สุดของหนอนไหม ผลผลิตเส้นไหมจะมีคุณภาพดีหรือไม่ ผลผลิตต่อไร่จะมากหรือน้อย คุณภาพของใบหม่อนมีส่วนสัมพันธ์โดยตรง รวมทั้งกระบวนการบริหารจัดการแปลงหม่อนเพื่อการใช้ประโยชน์สูงสุดด้วย(หา ป้องเรือ, ตุลาคม 2560 : สัมภาษณ์)กำหนดความรู้/แสวงหาความรู้ (ภายใน/ภายนอก)ความรู้ด้านการปลูกหม่อน หม่อนสามารถปลูกได้ในสภาพภูมิอากาศทุกภาคของประเทศไทย แต่ถ้าจะให้การปลูกหม่อนได้ผลดี ควรเลือกพื้นที่ที่มีดินร่วนซุย หน้าดินลึก มีการระบายน้ำดี แปลงหม่อนไม่ควรห่างจากโรงเลี้ยงมากจนเกินไป ทั้งนี้เพื่อความสะดวกในการขนส่งใบหม่อนไปเลี้ยงไหมและไม่ควรปลูกหม่อนใกล้โรงงานอุตสาหกรรม ไร่ยาสูบ หรือแปลงพืชที่มีการใช้สารเคมีบ่อยครั้ง เพราะอาจเป็นอันตรายต่อตัวหนอนไหมพันธุ์หม่อน 1. หม่อนน้อย เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวผู้ กิ่งมีขนาดใหญ่ ลำต้นสีนวล มีตามาก ลักษณะของใบหนาเป็นมันสีเขียวแก่รูปใบโพธิ์ขอบใบเรียบ ลักษณะที่ดีของพันธุ์นี้คือทนแล้ง ขยายพันธุ์ง่ายด้วยกิ่งปักชำ ให้ผลผลิตประมาณ 1,500-2,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี แต่ไม่ต้านทานต่อโรครากเน่า 2. หม่อนสร้อย เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวผู้ กิ่งมีขนาดใหญ่แตกแขนงมาก ใบมีทั้งขอบใบเรียบและขอบใบเว้า อยู่ในต้นเดียวกัน ใบบางเหี่ยวเร็ว ผิวใบสากมือ เป็นหม่อนที่ทนแล้ง ให้ผลผลิตประมาณ 2,000 กิโลกรัม/ไร่/ปี 3. หม่อนไผ่ เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวเมีย กิ่งมีขนาดปานกลาง ลำกิ่งอ่อนโค้ง สีน้ำตาลเขียว ลักษณะใบเว้า มีพื้นที่ใบน้อย ใบบางสากมือ ให้ผลผลิตต่ำ แต่มีข้อดีคือ ต้านทานโรครากเน่า จึงเหมาะสำหรับปลูกเป็นต้นตอ เพื่อติดตาหม่อนพันธุ์ดีหรือพันธุ์ลูกผสม 4. หม่อนคุณไพ เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวเมีย กิ่งมีขนาดใหญ่ ขอบใบไม่เว้า ใบมีลักษณะเป็นคลื่น ค่อนข้างบาง ให้ผลผลิตสูงและต้านทานต่อโรครากเน่า แต่ไม่ทนแล้งและเหี่ยวง่าย 5. หม่อนนครราชสีมา 60 (นม. 60) เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวเมีย ลำต้นตั้งตรง กิ่งสีเทา ใบเป็นรูปใบโพธิ์ ใบเลื่อมมัน หนาปานกลาง ผิวใบเรียบ เป็นหม่อนพันธุ์ลูกผสม ให้ผลผลิตประมาณ 3,600 กิโลกรัม/ไร่/ปี ต้านทานต่อโรคราแป้ง ขยายพันธุ์ด้วยวิธีติดตา 6. หม่อนบุรีรัมย์ 60 (บร. 60) เป็นหม่อนที่ให้ดอกตัวเมีย ลำต้นตั้ง ตรง หลังจากมีการตัดแต่งแล้วสามารถ แตกกิ่งได้เร็ว กิ่งมีสีน้ำตาล ใบไม่แฉก ผิวใบเรียบ ใบใหญ่หนา อ่อนนุ่ม ให้ผลผลิตดี ในสภาพที่มีน้ำ เป็นหม่อนพันธุ์ลูกผสม ให้ผลผลิตประมาณ 4,300 กิโลกรัม/ไร่/ปี ขยายพันธุ์โดยการปักชำ\\\ความรู้ด้านการเลี้ยงไหม เกษตรกรไทยทำการประกอบอาชีพการเลี้ยงไหมมาเป็นเวลานานโดยเฉพาะการเลี้ยงแบบพื้นบ้าน มีการถ่ายทอดวิชาความรู้เทคนิคต่าง ๆ สืบเนื่องต่อมาเป็นช่วง ๆ จากบรรพบุรุษ ต่อมาผลิตไหมได้มีการเปลี่ยนแปลงไปสู่สินค้าเกษตรกรชนิดหนึ่งในเชิงเศรษฐกิจ การเลี้ยงไหมในระบบดั้งเดิมจึงจำเป็นที่จะต้องได้รับการพัฒนาจากหน่วยงานที่รับผิดชอบ ทั้งภาครัฐและเอกชนอย่างเป็นระบบและต่อเนื่อง เพื่อก่อให้เกิดการปรับปรุงพัฒนาในเรื่องของพันธุ์ไหมเทคโนโลยีที่ใช้ในการผลิตไหมอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุดไหมมีการเจริญเติบโตแบบสมบูรณ์ (Complete metamorphosis) มีอายุประมาณ 42 – 55 วัน สามารถแยกได้ 4 ระยะ ดังนี้ 1. ระยะไข่ไหม (eggs) มี 2 ชนิด คือ ไข่ไหมที่พักตัว (hiberatig eggs) และไข่ไหมที่ไม่พักตัว (o – hiberatig eggs) ไข่ไหมที่พักตัวสามารถกระตุ้นให้ฟักออกเป็นตัวได้เช่นเดียวกับไข่ไหมชนิดไม่พักตัว โดยการฟักเทียมไข่ไหมสารละลายกรดเกลือ ไข่ไหมที่ผ่านการพักตัวแล้วจะฟักออกเป็นตัวภายใน 11 -12 วัน ส่วนไข่ไหมชนิดไม่พักตัวจะฟักออกภายใน 10 – 11 วัน\ 2. หนอนไหม (larvae) ระยะนี้มีอายุประมาณ 19 -25 วัน หนอนไหมแรกเกิดมีสีดำยาวประมาณ 3 มิลลิเมตร หนักประมาณ 0.45 มิลลิกรัม ในระหว่างการเจริญเติบโต ปกติจะมีการลอกคราบ 4 ครั้ง หนอนไหมเต็มที่จะมีน้ำหนักเป็นประมาณ 10,000 เท่าของน้ำหนักไหมแรกเกิด เมื่อหนอนไหมโตเต็มที่พร้อมจะทำรังเรียกว่า ไหมสุก ลำตัวใส ส่ายหัวไปมาเพื่อพ่นเส้นใยทำรังในจ่อ ใช้เวลา 2 – 3 วัน ในการพ่นเส้นใยและลอกคราบเป็นดักแด้ 3. ระยะดักแด้ (pupae) ระยะนี้ใช้เวลาประมาณ 10 -13 วัน จะลอกคราบเป็นตัวเต็มวัย (ผีเสื้อ) 4. ผีเสื้อ (moth) ปกติมีอายุประมาณ 7 -10 วัน ตัวเต็มวัยจะผสมพันธ์วางไข่สืบสายพันธุ์ต่อไ คุณแม่หา ป้องเรือ เป็นบุคคลที่อาศัยอยู่ในหมู่บ้านศรีประชาใหม่ ตำบลหนองโน อำเภอกระนวน จังหวัดขอนแก่น ซึ่งได้รับการถ่ายทอดภูมิปัญญาการจักสานไม้ไผ่จากบรรพบุรุษและได้นำมาดำเนินชีวิตต่อและยังได้สืบทอดวิชาความรู้ด้านการจักสานนี้ให้กับลูกหลานต่อไปการสร้างความรู้ (ขั้นตอน/วิธีการการสร้างภูมิปัญญา)การเตรียมการปลูกหม่อน การเตรียมปลูกนิยมทำกัน 2 วิธี คือ 1. การปลูกเป็นหลุม มีขนาด กว้าง x ยาว x ลึกประมาณ 50 x 50 x 50 เซนติเมตร รองก้นหลุมด้วยอินทรียวัตถุ \\ 2. ขุดเป็นร่องปลูกยาวตามแถวปลูก มีขนาด กว้าง x ลึก ประมาณ 50 เซนติเมตร รองก้นร่องด้วยอินทรีย์วัตถุ\\วิธีการปลูกหม่อน วิธีการปลูกหม่อน นิยมทำกัน 3 วิธี คือ 1. การปลูกด้วยท่อนพันธุ์ นำท่อนพันธุ์ที่มีอายุไม่น้อยกว่า 8 เดือน ที่ปลอดโรคและแมลง ขนาดท่อนพันธุ์ยาวประมาณ 20 เซนติเมตร. หรือบนท่อนพันธุ์ มีตา 3 – 5 ตา การปลูกให้ท่อนพันธุ์ฝังลึกในดิน 3 ใน 4 ส่วน ของความยาวท่อนพันธุ์หรือให้มีตาอยู่เหนือพื้นดินอย่างน้อย 1 ตา ปลูกโดยตรงในแปลงที่เตรียมไว้ 2. การปลูกด้วยต้นหม่อนล้างราก นำท่อนพันธุ์ที่มีอายุไม่น้อยกว่า 8 เดือน ที่ปลอดโรคและแมลง ไปปักชำในแปลงเพาะชำก่อน อายุประมาณ 4-6 เดือน จึงย้ายปลูกลงในแปลงที่เตรียมไว้ได้เลยในกรณีที่แปลงเพาะชำกับแปลงปลูกอยู่ใกล้กัน หากแปลงปลูกอยู่ห่างไกลออกไปก็จะต้องถอนกล้าหม่อนออกจากแปลงชำแล้วจึงทำการขนย้ายไปปลูกในแปลงปลูกที่กำหนด 3. การปลูกด้วยต้นหม่อนชำถุง นำท่อนพันธุ์ชำลงในถุงชำพักไว้ ประมาณ 3 เดือน จึงขนย้ายลงปลูกในหลุมที่เตรียมไว้\ระยะปลูกหม่อนที่เหมาะสม ระยะปลูกหม่อนที่เหมาะสม ทั้งนี้ขึ้นอยู่กับสภาพของพื้นที่และขนาดเครื่องจักรที่ใช้ 1. เครื่องทุ่นแรงขนาดใหญ่ ระหว่างแถว x ระหว่างต้น คือ 3.0x0.75 เมตร 2. เครื่องทุ่นแรงขนาดกลาง คือ ระหว่างแถว x ระหว่างต้น คือ 2.5 x 0.75 เมตร 3. เครื่องทุ่นแรงขนาดเ ล็ก คือระหว่างแถว x ระหว่างต้น คือ 2.0 x 0.75 เมตร 4. แรงงานคนหรือสัตว์ คือ ระหว่างแถว x ระหว่างต้น คือ 1.5 x 0.75 เมตร\การเตรียมก่อนการเลี้ยงไหม เกษตรกรจะต้องเตรียมการก่อนที่จะเริ่มต้นการเลี้ยงไหมในแต่ละรุ่น ดังนี้ - อุปกรณ์การเลี้ยงไหม เช่น กระด้งเลี้ยงไหม มีด เขียง ตาข่ายถ่ายมูล จ่อ ตะแกรงร่อน ตะเกียบ ถังน้ำ เข่งหรือตะกร้าเก็บใบหม่อน รองเท้าแตะ สารโรยตัวไหม ปูนขาว เป็นต้น - ห้องเลี้ยงไหม สำหรับในส่วนของอุปกรณ์และห้องเลี้ยงไหมจะต้องทำความสะอาดโดยการล้างด้วยผงซกฟอก และตากแดดให้แห้ง เพื่อเป็นการฆ่าเชื้อโรค ซึ่งเป็นวิธีการป้องกันกำจัดโรคที่ดีที่สุด - ไข่ไหมพันธุ์ดี - แปลงหม่อนที่สมบูรณ์พร้อมที่จะเก็บใบมาเลี้ยงไหม\เทคนิคการเลี้ยงไหมวัยอ่อน 1. ไหมวัยอ่อน หมายถึง ตัวหนอนไหมตั้งแต่วัย1-วัย3 การเจริญเติบโตรวมประมาณ 10 วัน 2. การเก็บใบหม่อนสำหรับเลี้ยงไหมวัย อ่อน จะทำการเก็บหม่อนจากใบที่ 3-4 นับจากยอดลงมา เนื่องจากไหมวัยอ่อนต้องการใบหม่อนที่มีความอ่อนนุ่ม 3. การให้ใบหม่อนและการจัดการสภาพแวดล้อมที่ดีและเหมาะสม ทำการหั่นใบหม่อนให้มีความกว้าง 1.5-2.0 x 1.5-2.0 เซนติเมตร พอขึ้นวัย3 หั่นใบหม่อนให้ขนาดโตขึ้นได้ ในการขยายพื้นที่เลี้ยงให้ใช้ตะเกียบเพื่อป้องกันการติดแพร่ระบาดของโรค เนื่องจากวัยอ่อนมีโอกาสในการติดเชื้อได้ง่าย พื้นที่ที่เหมาะสม คือขยายให้หนอนไหมไม่เกาะติดกันมากนัก เพื่อให้การระบายอากาศในกระด้งเลี้ยงมีการถ่ายเทอากาศดี เมื่อถึงวัย3พื้นที่เลี้ยงประมาณ 4.0 ตารางเมตร สภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงไหมวัยอ่อน(วัย1-วัย3) คือ อุณหภูมิประมาณ 28, 27, 26 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 90, 85, 80 เปอร์เซ็นต์ ตามลำดับ ดังนั้นในการเลี้ยงไหมวัยอ่อนบางครั้งเจอสภาพอากาศที่ร้อนและแล้งมากเกษตรกรจะนำวัสดุพื้นบ้าน เช่น กาบกล้วย มาใช้ในการควบคุมความชื้นภายในกระด้งเลี้ยงไหม หรือใช้ใบตองกล้วยมาปิดกระด้งเลี้ยงไหม เป็นการช่วยรักษาให้ใบหม่อนสดตลอดเวลา หรือทำการลาดน้ำที่พื้นห้องเลี้ยงเพื่อช่วยเพิ่มความชื้น ทั้งนี้ภายในห้องเลี้ยงไหมควรมีเทอร์โมมิเตอร์แบบกระเปาะเปียกและกระเปาะแห้งเพื่อวัดอุณหภูมิและความชื้นจดบันทึกรายละเอียดของอุณหภูมิและความชื้นตลอดทั้งรุ่นการเลี้ยง เพื่อการนำไปใช้ประโยชน์ในการบริหารจัดการการเลี้ยงไหมที่ดีการจัดการไหมนอนและไหมตื่น - ไหมนอน หมายถึง หนอนไหมหยุดกินอาหาร เพื่อการเปลี่ยนวัยแต่ละวัยหนอนไหมจะหยุดกินใบหม่อนประมาณ 1 วันหรือ 1 วันครึ่ง โดยจะมีลักษณะชูหัวขึ้นและหยุดการเคลื่อนไหว โดยทั่วไปจะต้องทำการโรยปูนขาวในกระด้งเลี้ยงไหมเพื่อปรับลดความชื้นลง - ไหมตื่น หมายถึง หนอนไหมที่ผ่านการนอนพักหยุดกินใบหม่อนและตื่นขึ้นมาพร้อมกับทำการลอกคราบเพื่อขึ้นสู่วัยใหม่และขยายตัวให้โตขึ้น การดูแลไหมตื่นนอน คือ ให้ทำการโรยปูนขาวหรือสารพาราฟอร์มาดีไฮด์ความเข้มข้น 3 เปอร์เซนต์ เพื่อป้องกันเชื้อโรคพร้อมกับการให้ใบหม่อนที่หั่นเป็นชิ้นๆ ขนาดขึ้นอยู่กับวัยแต่ละวัย - การถ่ายมูลไหม หมายถึง การทำความสะอาดกระด้งเลี้ยงไหมโดยการเอาเศษเหลือใบหม่อนและมูลไหมออกจากตัวหนอนไหม เมื่อให้ใบหม่อนประมาณ 2 มื้อ หลังจากไหมตื่นให้ทำการถ่ายมูลไหม โดยวางตาข่ายถ่ายมูลลงบนกระด้งเลี้ยงไหมแล้วให้ใบหม่อนบนตาข่าย ตัวหนอนไหมก็จะไต่ขึ้นมากินใบหม่อนที่อยู่บนตาข่าย แล้วให้ยกตาข่ายที่มีตัวหนอนไหมออกไปวางในกระด้งเลี้ยงไหมใบใหม่ เศษใบหม่อนและมูลไหมก็จะเหลืออยู่ที่กระด้งเลี้ยงไหมใบเก่า กรรมวิธีดังกล่าว เรียกว่า การถ่ายมูลไหม วัตถุประสงค์เพื่อที่จะทำความสะอาดกระด้งเลี้ยงไหมให้สะอาด ลดอัตราการเสี่ยงต่อการเกิดโรคไหม ทั้งนี้ให้ทำการถ่ายมูลทุกครั้งหลังจากที่ไหมตื่นนอน\เทคนิคการเลี้ยงไหมวัยแก่ 1. ไหมวัยแก่ หมายถึง หนอนไหมที่เจริญเติบโตอยู่ในช่วงวัย4และวัย5 จะมีช่วงระยะเวลาการเจริญเติบโตอยู่ประมาณ 11-12 วัน 2. การเก็บใบหม่อนเลี้ยงไหมวัยแก่ ให้ทำการเก็บใบหม่อนที่แก่ คือ เริ่มเก็บใบหม่อนตั้งแต่ใบที่5ลงมา ยกเว้นการเลี้ยงแบบกิ่งก็จะทำการตัดกิ่งหม่อนทั้งกิ่งมาเลี้ยงไหม 3. การให้ใบหม่อนในการเลี้ยงไหมวัยแก่และการจัดสภาพการเลี้ยงที่เหมาะสม ให้ใช้ใบที่สมบูรณ์และมีคุณภาพดี ซึ่งจะอยู่ในตำแหน่งถัดจากใบที่เก็บไปเลี้ยงไหมวัยอ่อน คือประมาณใบที่5ลงมา ในมื้อแรกของหนอนไหมวัย4 ซึ่งหนอนไหมพึงตื่นนอนจากหนอนไหมวัย3 ใบหม่อนที่ใช้เลี้ยงไหมให้หั่นตัดเป็น2ส่วน หรือ3ส่วนเพื่อให้หนอนไหมกินได้ดีที่สุด กาจัดการสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมต่อการเลี้ยงไหมวัยแก่ อุณหภูมิประมาณ 24- 25 องศาเซลเซียส ความชื้นสัมพัทธ์ 70-75 เปอร์เซ็นต์ การเลี้ยงไหมวัยแก่หนอนไหมต้องการจัดระบบการหมุนเวียนอากาศดี เพราะทั้งขนาดตัวหนอนไหม ปริมาณใบหม่อน และมูลไหมเศษใบหม่อนจะเป็นแหล่งที่เกิดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ดังนั้นการหมุนเวียนเพื่อระบายอากาศจึงมีความจำเป็น เพื่อให้หนอนไหมเจริญแข็งแรง\การให้ใบหม่อนเพื่อการเลี้ยงไหมวัยแก่ ทำได้ 2 รูปแบบ คือ - การเลี้ยงไหมแบบใบ - การเลี้ยงไหมแบบกิ่ง ทั้งนี้การที่จะเลี้ยงรูปแบบใดขึ้นอยู่กับหลายๆปัจจัย เช่น แรงงาน ฤดูกาลที่เลี้ยง ปริมาณใบหม่อนที่มี เป็นต้น หนอนไหมวัยแก่จะนอน1ครั้ง คือ ช่วงเปลี่ยนวัยจากวัย4ไปสู่วัย5 ลักษณะเช่นเดียวกับไหวัยอ่อน คือ ไม่กินอาหาร ไม่เคลื่อนไหว ชูหัวขึ้น ในช่วงที่ไหมนอนให้ทำการโรยปูนขาวบนตัวไหมเพื่อลดความชื้นในกระด้งเลี้ยงไหม ระดับความชื้นที่เหมาะสม คือ ความชื้นไม่ควรเกิน70 เปอร์เซนต์ ไหมตื่น คือ หนอนไหมจะลอกคราบเก่าออก เพื่อเปลี่ยนวัยสู่วัยใหม่ และมีการขยายตัวใหญ่ขึ้น เมื่อไหมตื่นใหม่ๆผิวหนังจะเปราะบาง จึงต้องโรยสารพาราฟอร์มาดีไฮด์ความเข้มข้นที่ 3 เปอร์เซนต์ลงบนตัวหนอนไหม เพื่อเป็นการป้องกันเชื้อโรคเข้าทำลาย การถ่ายมูลไหมวัยแก่ ควรที่จะต้องมีการทำมากกว่า 1 ครั้งต่อรุ่นโดยทั่วไปวัย4 ควรทำการถ่ายมูล 2 ครั้ง ส่วนวัย5 อาจจะต้องทำ 3 ครั้ง โดยตาข่ายถ่ายมูลที่ใช้จะต้องใช้ขนาดตาใหญ่กว่าไหมวัยอ่อน\การเก็บไหมสุก 1. ไหมสุก หมายถึงหนอนไหมวัย5 ที่กินใบหม่อนเต็มที่แล้ว ก็จะเริ่มสุก พร้อมที่จะพ่นเส้นใย ในวัย5ใช้เวลาประมาณ 5-6วัน ไหมก็จะเริ่มสุก หยุดกินใบหม่อน หากเป็นไหมไทยก็จะสังเกตได้ง่าย คือลำตัวหนอนไหมจะเปลี่ยนเป็นสีเหลืองใส เพราะ ภายของตัวหนอนไหมส่วนที่เป็นsilk-glad ก็จะเต็มไปด้วยสารพ่นใยไหม ซึ่งไหมไทยมีสีเหลืองจึงทำให้เห็นได้ชัด แต่หากเป็นไหมลูกผสมก็จะมีสีขาวใสโปร่งแสง ในระยะนี้หนอนไหมพร้อมที่จะพ่นใยไหมออกมาเพื่อห่อหุ้มตัว เรียกว่าไหมทำรัง แล้วหนอนไหมก็จะพัฒนาไปเป็นดักแด้อยู่ภายในรัง สภาพที่เหมาะสม คือ อุณหภูมิ ประมาณ 24 องศาเซลเซียส ความชื้นประมาณ 75 เปอร์เซนต์ 2. การเก็บไหมสุกเข้าจ่อ ให้ทำการเก็บไหมสุกโดยการใช้มือ นำไปใส่ลงในจ่อ ซึ่งเป็นอุปกรณ์สำหรับไหมทำรัง ปริมาณหนอนไหมต่อจ่อจะต้องมีความเหมาะสมไม่แน่นจนเกินไป เพื่อหลีกเลี่ยงการเกิดรังแฝด ซึ่งเป็นรังไหมชนิดหนึ่งของรังเสีย การเก็บไหมสุกเข้าจ่อจะต้องทำการเก็บให้ทันเวลา คือจะต้องเก็บไหมสุกเข้าจ่อก่อนที่ไหมสุกจะพ่นเส้นใยทำรัง เพราะจะกระทบต่อผลผลิตรังไหม 3. การเก็บเกี่ยวรังไหม ให้หนอนไหมทำรังอยู่ในจ่อประมาร 5-6 วัน จึงทำการเก็บรังไหมออกจากจ่อ จากนั้นก็นำรังไหมไปทำการสาวเส้นไหมต่อไป\การสาวเส้นไหม การสาวเส้นไหม หมายถึง กระบวนการดึงเส้นใยไหมออกจากรังไหม โดยการใช้ความร้อนจากน้ำร้อนในการละลายกาวเพื่อทำให้เปลือกรังอ่อนตัวลงและสามารถดึงเส้นใยออกมาเป็นลักษณะเส้นด้าย เราเรียกว่า การสาวเส้นไหม\\\เทคนิคการสาวเส้นไหม 1. การเตรียมรังไหม ก่อนที่จะทำการสาวไหม ให้ทำการคัดเลือกรังไหมที่จะทำการสาวก่อน โดยคัดรังดีออกจากรังเสีย นำรังดีมาทำการสาวเส้นไหมเพื่อให้ได้เส้นไหมที่มีคุณภาพ 2. การต้มรังไหม น้ำที่นำมาต้มรังไหมจะต้องมีการตรวจคุณภาพในเบื้องต้นก่อน เพราะการสาวไหมคุณภาพของน้ำต้มสาวมีความสำคัญต่อคุณภาพเส้นไหมมาก น้ำกระด้างไม่ควรใช้ ระดับความเป็นกรดเป็นด่างควรอยู่ที่6.8-8.4 คือสภาพน้ำเป็นกลางค่อนไปทางด่างมากกว่า และน้ำต้องเป็นน้ำที่สะอาด เริ่มจากการต้มน้ำให้เกือบเดือดประมาณ 90 องศาเซลเซียส จากนั้นนำรังไหมที่เตรียมไว้ใส่ลงในหม้อต้มสาวโดยการนับจำนวนรังไหมในเบื้องต้น คือ พันธุ์ไทยพื้นบ้าน ประมาณ 120-130 รัง (ขนาดเส้นไหมประมาณ 150-200 ดีเนียร์)และในขณะสาวให้รักษาระดับความร้อนของน้ำที่ 60 องศาเซลเซียส\ การสาวเส้นไหม แบ่งการสาวออกเป็น 3 ชนิด คือ 3.1 การสาวไหมเปลือกรัง หมายถึง การสาวเส้นจากเปลือกรังชั้นนอก ใช้ไม้ไผ่ลักษณะแบน ขนาดกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร หรือที่เรียกว่าไม้คืบ ใช้ไม้คืบค้นรังไหมในหม้อสาวเพื่อหาเงื่อนเส้นไหมดึงขึ้นมาจากหม้อสาว มีเส้นขนาดใหญ่และหยาบ ซึ่งจะมีปริมาณประมาณ 15-20 เปอร์เซนต์ เรียกว่า เส้นไหมเปลือก หรือไหมหลืบ หรือไหมสาม ขนาดเส้นไหม ตั้งแต่300-500 ดีเนียร์ 3.2 นำรังไหมที่ทำการหลืบแล้วมาใส่ลงในหม้อสาวแล้ว ใช้ไม้ไผ่ลักษณะแบนขนาดกว้างประมาณ 5 เซนติเมตร ยาวประมาณ 40 เซนติเมตร หรือที่เรียกว่าไม้คืบ ใช้ไม้คืบค้นรังไหมในหม้อสาวเพื่อหาเงื่อนเส้นไหมดึงขึ้นมาจากหม้อสาวผ่านไปที่พวงสาว คล้องพันกับลูกรอก จากนั้นก็พันเกลียวเส้นไหมเพื่อรวมเส้นไหมที่ออกมาจากหลายๆรังที่เราได้ใส่ลงในหม้อช่วงแรกของการเริ่มสาวเข้าด้วยกันให้เป็นเส้นเดียว จากนั้นก็ทำการดึงเส้นไหมออกจากรังไหมหรือที่เรียกว่าสาวไหม ซึ่งอาจจะใช้วิธีดึงสาวลงในกระบุงหรือสาวม้วนเข้าอักหรือเหล่งโดยตรง ในขณะที่กำลังสาวให้สังเกตดูรังไหม หากเห็นว่ามีรังไหมบางส่วนที่สาวเปลือกรังหมดแล้วก็ให้ทำการเติมรังไหมลงในหม้อต้มสาวทดแทนอย่างสม่ำเสมอ เพื่อรักษาปริมาณรังไหมให้คงที่ตลอดเวลาของการสาวไหม ซึ่งจะทำให้สามารถควบคุมขนาดของเส้นไหมได้ระดับหนึ่ง คือ ขนาดประมาณ 150 / 200 ดีเนียร์ เรียกเส้นไหมที่สาวได้ว่า ไหมหนึ่งหรือไหมน้อย 3.3 การสาวไหมที่มีการสาวติดต่อกันทั้งเปลือกรังชั้นนอกและเปลือกรังชั้นใน และจะต้องมีการเติมรังไหมลงในหม้อต้มสาวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้เส้นไหมที่ได้ออกมามีการปะปนกันของเปลือกรังชั้นนอกและชั้นใน ลักษณะเส้นไหมค่อนข้างหยาบและมีขนาดใหญ่กว่าไหมหนึ่ง เรียกว่า ไหมสอง หรือสาวไหมรวมหรือไหมเลย ขนาดตั้งแต่250-350 ดีเนียร์\การทำไจไหม \\ การทำใจไหมเป็นขั้นตอนที่ต่อจากการสาวเส้นไหม อุปกรณ์ที่ใช้ในการทำใจไหม เรียกว่า เหล่ง ซึ่งมีขนาดเส้นรอบวงเท่ากับ 135-155 เซนติเมตร นำเส้นไหมที่สาวได้มากรอใส่ในวงรอบของเหล่ง เพื่อทำเป็นไจไหมที่มีขนาดเส้นรอบวงมาตรฐาน และแต่ละไจไหมควรมีน้ำหนักประมาณ 80-100 กรัม โดยในระหว่างการกรอจะมีแขนที่ติดอยู่กับเหล่งทำหน้าที่ในการควบคุมให้เส้นไหมที่กรอม้วนทับกันเป็นแบบสานตาข่าย หรือที่เรียกว่าไดมอนด์ครอส เพื่อช่วยให้การจัดเรียงเส้นไหมในใจไหมให้มีระเบียบ เมื่อนำมาทำการกรอเข้าหลอดเพื่อใช้ในการทอผ้าสามารถทำได้รวดเร็ว ทั้งนี้ในแต่ละใจจะต้องทำการแบ่งเส้นไหมในแต่ละไจออกเป็น 4-6 ส่วนหรือที่เราเรียกว่า การทำไพไหม โดยใช้เส้นด้ายร้อยเพื่อแบ่งเส้นไหมเป็นเปราะๆประมาณ 5 เปราะ ในแต่ละตำแหน่งเพื่อไม่ให้เส้นไหมในไจกระจายออกพันกัน ด้ายที่ผูกไพไว้ควรมีการเผื่อความกว้างไว้ตำแหน่งละ 8-10 เซนติเมตร ควรมีการเก็บรักษาเงื่อนหัวท้ายของเส้นไหมไว้ด้วย เพื่อความสะดวกในนำไปทำการลอกกาว ย้อมสีและทอผ้า เส้นไหมที่สาวแล้วนำมาผ่านกระบวนการทำใจไหมมาตรฐาน ก็จะเป็นเส้นไหมมาตรฐานพร้อมใช้เพื่อการแปรรูปต่างๆและทอผ้าชนิดต่างๆได้ อย่างมีประสิทธิภาพ\\\การจัดเก็บและการค้นคืนความรู้ (การจดจำ/เอกสาร/ฐานข้อมูล) ภูมิปัญญาท้องถิ่น การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม จากคุณแม่หา ป้องเรือ ซึ่งได้รับถ่ายทอดภูมิปัญญาจากบรรพบุรุษสืบต่อกันมา ซึ่งปัจจุบันคุณแม่หา ป้องเรือ ยังได้ถ่ายทอดวิธีการปลูกหม่อน เลี้ยงไหมให้กับลูกหลานชาวบ้านศรีประชาใหม่ พร้อมทั้งให้ข้อมูลความรู้เกี่ยวกับการปลูกหม่อน เลี้ยงไหม แก่ผู้ที่สนใจอีกด้วย จึงทำให้ชาวบ้านสามารถนำมาทำเป็นธุรกิจเสริมเพื่อเป็นรายได้ทางหนึ่งให้กับครอบครัว และที่สำคัญผ้าไหมไทยในยุคปัจจุบันได้ตีแผ่สู่ตลาดโลกและเป็นที่ยอมรับของคนไทยและชาวต่างชาติ การถ่ายทอดความรู้และการใช้ประโยชน์ (ซึมซับไว้กับตนเอง หรือ เผยความรู้ให้แก่องค์กร) การถ่ายทอดปลูกหม่อน เลี้ยงไหม เป็นการถ่ายทอดให้กับลูกหลานและคนในชุมชนที่สนใจ ซึ่งถือว่าให้ความรู้กับผู้ที่สนใจและเพื่ออนุรักษ์ภูมิปัญญาท้องถิ่นไม่ให้สูญหายและให้ลูกหลานสืบทอดต่อไป1. การเลี้ยงไหม เส้นใยที่นำออกมาทอเป็นผ้าไหมนั้นได้มาจากใยที่ห่อหุ้มดักแด้ที่เรียกว่า “รังไหม” ซึ่งรังไหมนี้ก็คือ ช่วงชีวิตหนึ่งของผีเสื้อกลุ่ม Lepidoptera ที่อยู่ในวงศ์ Bombycidae สำหรับไหมที่ใช้เลี้ยงเพื่อผลิตเส้นใยมีชื่อทางวิทยาศาสตร์ว่า Bombyx Mori ผีเสื้อไหม ตัวผีเสื้อจะมีปี 2 ปี สีขาวปนเทาไม่มีปากแต่มีรอยเหมือนปาก ผีเสื้อตัวเมียมีขนาดใหญ่กว่าตัวผู้ บินไกลไม่ได้ ลักษณะการบินเหมือนการกระโดดไกลๆอายุของผีเสื้อไหมมีช่วงเวลาที่สั้นมากภายหลังการผสมพันธุ์และออกไข่แล้วผีเสื้อไหมจะตายรวมเวลาแล้วประมาณ 2-3 วัน ผีเสื้อไหม Bombyx Mori หลังจากที่ได้รับการผสมพันธุ์แล้วจะวางไข่ประมาณ 250-500 ฟอง แต่แม่พันธุ์1ตัวทั้งนี้ขึ้นอยู่กับพันธุ์ของผีเสื้อตัวหนอนไหม ตัวหนอนวัยที่ 1-2 ไข่ไหมจะฟักออกมาเป็นตัวหนอนเล็กๆกินใบหมอนหั่นฝอยละเอียดอยู่ประมาณ 3-4 วัน จากนั้นจะลอกคราบเพื่อให้ลำตัวยาวโตขึ้น หลังจากการลอกคราบแล้วตัวหนอนไหมจะนอนเหยียดตรง นิ่ง ไม่กินอาหารเป็นเวลา1วัน1คืน เรียกว่า “ไหมนอน” เมื่อครบกำหนดจึงกินอาหารต่อเป็นหนอนระยะที่สอง ประมาณ2-3วัน แล้วลอกคราบอีกครั้ง จากนั้นจะนอนต่อ 1 วัน 1 คืน เมื่อตื่นมาก็จะเป็นหนอนระยะที่สาม ตัวหนอนวัยที่ 3 หนอนวัยนี้จะสามารถกินใบหม่อนทั้งใบไม่ต้องหั่นฝอยระยะนี้ใช้เวลา 3-4 วันหลังจากนั้นจะลอกคราบนอน 1 วัน 1 คืน แล้วจะเข้าสู่ระยะที่สี่ ตัวหนอนระยะที่ 4 นี่จะกินอาหารจำนวนมากโตเร็วใช้เวลาประมาณ 3-4 วัน แล้วจะลอกคราบครั้งสุดท้ายเพื่อเข้าสู่ระยะที่ 5 ซึ่งเป็นระยะสุดท้ายใช้เวลาประมาณ 7-8 วันเป็นระยะที่หนอนไหมกินใบหมอนมาก เมื่อโตเต็มที่แล้วจะมีต่อมไหมเกิดขึ้นภายในตัวไหม ทำให้ตัวหนอนไหมมีสีเหลืองเรียกว่า “ไหมสุก” ตัวไหมสุกจะมีลำตัวสั้นและเล็กลงเล็กน้อย ตัวโตใสและหยุดกินใบหมอนเริ่มชูหัวส่ายหาที่ทำรัง ตัวหนอนไหมที่สุกเต็มที่จะถูกเก็บรักษาเข้า “จ่อ” เพื่อชักใยทำรังเป็น ”รังไหม” ที่เรานำมาสาวเส้นใย นำไปทอเป็นผ้าไหมนั่นเอง รังไหม รังไหมมีลักษณะกลมรี มีทั้งสีขาวและสีเหลืองขึ้นอยู่กับพันธุ์ของรังไหม รังไหมประกอบไปด้วย เส้นใยคือโปรตีนที่แข็งตัวซึ่งตัวไหมหลั่งออกมาจากต่อมที่ศีรษะเรียกว่า Fibroi และมีโปรตีนที่ช่วยยึดให้ติดกันเป็นรังไหมที่เรียกว่า Serrici ตัวหนอนไหมจะเริ่มชักใยจากข้างนอนเข้าหาตัวเป็นรูปตัววี ตรงกลางคอดเล็กน้อย ใยไหมนี้จะขับออกมาจากต่อมที่ศีรษะสองต่อม ก่อนชักใยไหมตัวหนอนไหมจะงอตัวเองเข้าเป็นรูปเกือกม้า แล้วยกศีรษะส่ายไปมาเป็นรูปเลข8 จะชักใยออกมาครั้งแรกค่อนข้างยุ่งแล้วค่อยๆเรียงเป็นระเบียบขึ้นทุกที ไหมจะชักใยออกมาทีละสองเส้นพร้อมกัน ยึดติดกันเป็นเส้นเดียวกันโดยขี้ผึ้งหรือ Serrici ที่หุ้มเส้นใยแต่ละเส้น เมื่อแข็งตัวจะยึดติดกันแน่นดูเป็นเส้นเดียวหนอนไหมจะชักใยทำรังเสร็จภายใน 24-72 ชั่วโมง แล้วจะหยุดพัก มีการเปลี่ยนแปลงทางชีววิทยาภายใน หนังเปลือกนอนของตัวหนอนจะแข็งแรงและเปลี่ยนเป็นสีน้ำตาลดูเหมือนไม่มีชีวิต เรียกว่า “ดักแด้” ตัวดักแด้นี้จะนอนอยู่ในรัง 10-12 วัน แล้วลอกคราบพัฒนาตัวเองอีกครั้งกลายเป็นผีเสื้ออยู่ภายในรัง เมื่อพร้อมก็จะพ่นน้ำลายซึ่งมีฤทธิ์เป็นด่างละลายเจาะรังไหมออกมาสู่โลกภายนอก 2. การสาวเส้นไหม 1. ต้มน้ำให้ร้อนประมาณ 70-80 C แล้วใส่รังไหมลงไปประมาณ 40-50รังเพื่อให้ความร้อนจากน้ำช่วยละลาย Serrici (โปรตีน) ที่ยึดเส้นไหม 2. ใช้ไม่พายเล็กแกว่งตรงกลางเป็นแฉกคนรังไหมกดรังไหมให้จมน้ำเสียก่อน 3. เมื่อรังไหมลอยขึ้นจึงค่อยๆตะล่อมให้รวมกันแล้วต่อยๆดึงเส้นใยไหมออกมาจะได้เส้นใยไหมซึ่งมีขนาดเล็กมากรวมเส้นใยไหมหลายๆเส้นรวมกัน 4. ดึงเส้นไหม โดยให้เส้นไหมลอดออกมาตามแฉกไม้ ซึ่งจะทำให้ได้เส้นไหมที่สม่ำเสมอและรังไหมไม่ไต่ตามมากับเส้นไหม เส้นไหมที่สาวได้ จะผ่านไม้หีบขึ้นไปร้อยกันรอกที่แขวนหรือ พวงสาวที่ยึดติดกับปากหม้อ แล้วดึงเส้นไหมใส่กระบุง 5. คอยเติมรังไหมใหม่ลงไปในหม้อต้มเป็นระยะๆ 6. รังไหมจะถูกสาวจนหมดรังเหลือดักแด้จมลงก้นหม้อแล้วจึงตักดักแด้ออก 3. เส้นไหม ไหมหนึ่งหรือไหมน้อย คือเส้นไหมที่ได้จากการที่สาวไหมชั้นนอกออกไว้ต่างหาก แล้วแยกรังไหมออกเพื่อนำมาต้มสาวเป็นครั้งที่2 จะได้เส้นเล็กละเอียดมีขนาดสม่ำเสมอ ไม่มีปุ่มปมเป็นไหมที่สวยงามและมีคุณภาพดีนิยมใช้ทำเป็นเส้นยืน ไหมสอง หรือไหมกลาง คือเส้นไหมที่สาวเอาไหมชั้นนอกออกแล้วแทนที่จะแยกให้อยู่คนละพวก กลับสาวไปเรื่อยๆพอรังไหมใกล้หมดก็เติมรังไหมเข้าไปอีก แล้วสาวไปเรื่อยๆซึ่งจะได้เส้นไหมขนาดโต อาจมีปุ่มปนบ้าง นิยมใช้เป็นเส้นพุ่งในการทอ ไหมสามหรือไหมใหญ่ คือเส้นไหมที่สาวออกมาจากรังไหมครั้งแรก เป็นการเอาเฉพาะเปลือก และพักยกรังไหมเอาไว้เส้นไหมจะแข็ง เส้นใหญ่และหยาบ ถ้านำไปทอจะได้ผ้าชนิดหนา 4. การเตรียมเส้นไหม ไน เป็นเครื่องมือสำหรับกรอเส้นไหมเข้าหลอด ลักษณะเป็นวงล้อทำด้วยไม้ไผ่หรือหวาย ระหว่าล้อและแกนหลอดมีเชือกฟูกโยง เมื่อหมุนวงล้อ ก็จะทำให้แกนหมุนไปด้วย ระวิง เป็นเครื่องมือปั่นไหม มีลักษณะเหมือนกังหัน 2 ดอก ทำด้วยไม้หรือไม้ไผ่เหลาแบนๆดอกละ3อันระหว่างกังหันทั้ง2มีแกนและเส้นด้ายหรือไนล่อนผูกโยงสำหรับรองรับเข็ดไหม ระวิงใช้คู่กับไน เมื่อต้องการกรอเส้นไหมยืนเส้นไหมพุ่งเข้าหลอดโดยจะสวมหลอดเข้ากับแกนไน แล้วนำเข็นไหมที่ต้องการกรอ เข้าสวมระวิง แล้วดึงเส้นไหมจากเข็ดไหมที่ต้องการกรอ เข้าสวมที่ระวิง แล้วดึงเส้นไหมจากเข็นนั้นผูกติดกับหลอดค้นหรือหลอดพุ่ง เมื่อหมุนวงล้อของไนแกนหลอดจะหมุนทำให้หลอดค้นหรือ ลอดพุ่งที่สวมติดอยู่หมุนดึงเส้นไหมจากระวิงพันติดไปกับหลอดนั้นด้วย โดยกระวิงจะหมุนตามช่วยคลายเส้นไหม ทำให้เส้นไหมไม่พันกัน\พิกัด (สถานที่) หมู่บ้านห้วยไผ่ ตำบลน้ำพอง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่น\\\\\ข้อมูลผู้ศึกษาภูมิปัญญาท้องถิ่น ปีการศึกษา 2560ชื่อผู้ศึกษา นายประหยัด วิชาเงิน\\\\หลักสูตร ประกาศนียบัตรบัณฑิตวิชาชีพครู (ป.บัณฑิต) รุ่น 4 รายวิชา ความเป็นครู (800 5201) เน้นศึกษา ครูกับการอนุรักษ์และส่งเสริมภูมิปัญญาท้องถิ่น คณะ ศึกษาศาสตร์ สถานที่ศึกษา มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือสถานที่ทำงาน โรงเรียนพุทธเกษมวิทยาลัย ตำบลหนองกุง อำเภอน้ำพอง จังหวัดขอนแก่นอาจารย์ผู้สอน1 รองศาสตราจารย์ สำเร็จ คำโมง(ครูภูมิปัญญาไทย, ศิลปินมรดกอีสาน)2 อาจารย์ ดร.พา อักษรเสือ3 อาจารย์ ดร.ธีรภัทร โคตรบรรเทา4 อาจารย์ สุชาดา ลดาวัลย์5 อาจารย์ อัจฉริยะ วงษ์คำซาว6 อาจารย์ บุญจันทร์ เพชรเมืองเลยhttps://youtu.be/xSs3iT4yr6g
คำสำคัญ :   การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม, หนอนไหม, ไหม, ภูมิปัญญาท้องถิ่น, มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
ผู้สร้างสรรค์/ผู้แต่ง/เจ้าของผลงาน :   หา ป้องเรือ
เจ้าของผลงานร่วม :   ประหยัด วิชาเงิน, มหาวิทยาลัยภาคตะวันออกเฉียงเหนือ
สื่อสำหรับบุคคลประเภท :   ครู / อาจารย์, นักเรียน / นักศึกษา, ทั่วไป, ผู้ปกครอง
ระดับชั้น :   ประถมศึกษาปีที่ 1 (ป. 1), ประถมศึกษาปีที่ 2 (ป. 2), ประถมศึกษาปีที่ 3 (ป. 3), ประถมศึกษาปีที่ 4 (ป. 4), ประถมศึกษาปีที่ 5 (ป. 5), ประถมศึกษาปีที่ 6 (ป. 6), มัธยมศึกษาปีที่ 1 (ม. 1), มัธยมศึกษาปีที่ 2 (ม. 2), มัธยมศึกษาปีที่ 3 (ม. 3), มัธยมศึกษาปีที่ 4 (ม. 4), มัธยมศึกษาปีที่ 5 (ม. 5), มัธยมศึกษาปีที่ 6 (ม. 6), ปริญญาตรี , ปริญญาโท, ปริญญาเอก, ประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) , ประกาศนียบัตรครูเทคนิคชั้นสูง (ปทส.) , ประกาศนียบัตรวิชาชีพชั้นสูง (ปวส.), การศึกษาตามอัธยาศัย
สาขาวิชาของสื่อ :   การงานอาชีพและเทคโนโลยี, สังคมศึกษา ศาสนาและวัฒนธรรม, ศิลปะ
ลักษณะของสื่อ :   ข้อมูลปฐมภูมิ , ใบงาน, รูปภาพ, VDO Clip
ผลงานทั้งหมด
1
ผู้เข้าชม
865
ดาวน์โหลด
1,384
ผลงานที่ได้รับความนิยมสูงสุด 5 อันดับ
การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม 873

ผลงาน 5 อันดับล่าสุด
การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม 26 มีนาคม 2562
ผลงานที่ได้รับความนิยมสูงสุด 5 อันดับ
จำนวนข้อมูลจำแนกตามระดับชั้น
จำนวนข้อมูลจำแนกตามประเภทบุคคล
ผลงานทั้งหมด   
#    ชื่อเรื่อง    ผู้เข้าชม    ดาวน์โหลด #
1 การปลูกหม่อนเลี้ยงไหม 873 1,385